สินค้าเกษตรวางแนวทางการตลาด

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำในปัจจุบันเป็นผลมาจากอุปสงค์หรือความต้องการสินค้าเกษตรมีน้อยกว่าอุปทานหรือปริมาณผลผลิตในแต่ละฤดูกาล นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำในปัจจุบันเป็นผลมาจากอุปสงค์หรือความต้องการสินค้าเกษตรมีน้อยกว่าอุปทานหรือปริมาณผลผลิตในแต่ละฤดูกาล

โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตออกมาพร้อมกันมากที่สุด และราคาสินค้าเกษตรยังขึ้นอยู่กับกลไกตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศซึ่งบางสินค้ายังพึ่งพาตลาดส่งออกหลักเพียงตลาดเดียว อีกทั้งยังขึ้นกับตลาดล่วงหน้าต่างประเทศเช่นยางพาราเป็นต้นทั้งนี้รัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโดยใช้ตลาดนำการผลิตหรือผลิตตามตลาดต้องการ รวมทั้งแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งเสริมระบบตลาดออนไลน์ในขณะที่ต้นทุนขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายของปัจจัยการผลิตที่ใช้ในแต่ละขั้นตอนกิจกรรมการผลิต

ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีแนวทางเน้นให้เกษตรกรเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการผลิตอีกทั้งได้มีคณะกรรมการกำกับดูแลแต่ละสินค้าเป็นการเฉพาะเพื่อบริหารจัดการ และได้มีมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาเพื่อแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ–โดยสินค้าที่สำคัญประกอบด้วยยางพาราจะมีการบริหารจัดการทั้งด้านดีมานด์ และซัพพลายโดยในด้านดีมานด์(ความต้องการ)มีการส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศเพื่อลดผลผลิตที่จะเข้าสู่ตลาดโดยเฉพาะในหน่วยงานภาครัฐซึ่งมีปริมาณความต้องการใช้ในปี2560(น้ำยางข้น12,108ตันและยางแห้ง1,499 ตัน)รวมทั้งรณรงค์ให้ใช้ผลผลิตภัณฑ์ยางและส่งเสริมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยาง

สำหรับด้านซัพพลายด์(ผลผลิต)มีการจัดการพื้นที่ปลูกยางมีเป้าหมายลดพื้นที่ปลูกยางจำนวน400,000ไร่ต่อปีโดยลดพื้นที่ปลูกแทนด้วยยางพันธุ์ดี200,000ไร่และปลูกแทนด้วยพืชเศรษฐกิจอื่น200,000ไร่รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการตลาดโดยการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกรเป้าหมาย22,590รายและบริการการซื้อขายยางโดยจัดตั้งตลาดกลางยางพาราเป้าหมายปริมาณซื้อขายยางผ่านตลาดกว่า1ล้านตัน–ปาล์มน้ำมันทางรัฐบาลได้หาแนวทางในการสนับสนุนเพื่อให้ผู้ประกอบการส่งออกได้มากขึ้นในการลดปัญหาสต๊อก และรองรับปริมาณผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงปลายปีโดยในช่วงเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม2560ได้ส่งออกแล้ว 52,629ตันและคาดว่าการส่งออกทั้งปีจะได้มากกว่า100,000 ตันซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ราคาปาล์มน้ำมันที่เกษตรกรขายได้ขยับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยปี2560กิโลกรัมละ4.20บาทซึ่งสูงกว่าต้นทุนการผลิต

ทางด้านมันสำปะหลังทางครม.ได้มีมติเมื่อวันที่22สิงหาคม2560ที่ผ่านมาได้อนุมัติในหลักการแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลังปี2560/61จำนวน 14 โครงการ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ภาคการเกษตรในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ลดต้นทุนการผลิตและแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่ารวมถึงมีการดูแลด้านการตลาด

ด้านข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีแนวทางบริหารจัดการการนำเข้าวัตถุดิบอื่นทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และได้ประสานให้สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยรับซื้อจากเกษตรกรไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ8.00บาท ที่ความชื้น14.5%ซึ่งเป็นราคา ณ กรุงเทพฯและปริมณฑลรวมทั้งครม.ได้มีมติเมื่อวันที่26กันยายน2560ที่ผ่านมาอนุมัติการดำเนินโครงการส่งเสริม การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้งหลังนาปี2560/61 เป้าหมาย31จังหวัด พื้นที่0.7ล้านไร่เกษตรกร47,000รายทั้งนี้เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศและกระจายผลผลิตออกสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอแบบไม่กระจุกตัว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *