การปลูกมะเขือเทศในกระสอบก่อนอื่นต้องเลือกกระสอบที่ต้องการใช้ปลูกก่อน ซึ่งจะเป็นกระสอบอะไรก็ได้ เช่นกระสอบปุ๋ย กระสอบอาหารสัตว์ กระสอบแป้งสาลี กระสอบข้าวสาร แต่ไม่ใช่กระสอบป่าน หรือหากเป็นกระสอบที่ไม่รั่วน้ำก็นำมาเจาะรูกระสอบก่อนเพื่อให้มีช่องทางระบายน้ำในกระสอบช่วงที่รดน้ำให้ต้นพืช การปลูกมะเขือเทศในกระสอบก่อนอื่นต้องเลือกกระสอบที่ต้องการใช้ปลูกก่อน ซึ่งจะเป็นกระสอบอะไรก็ได้ เช่นกระสอบปุ๋ย กระสอบอาหารสัตว์ กระสอบแป้งสาลี กระสอบข้าวสาร แต่ไม่ใช่กระสอบป่าน หรือหากเป็นกระสอบที่ไม่รั่วน้ำก็นำมาเจาะรูกระสอบก่อนเพื่อให้มีช่องทางระบายน้ำในกระสอบช่วงที่รดน้ำให้ต้นพืช
การปลูกพืชในกระสอบมี 2 แบบ คือ แนวนอน กับแนวตั้ง การวางกระสอบแบบนอน เหมาะสำหรับการปลูกพืชประเภทผักกาดหอม ผักชี หรือพืชที่ไม่ลงรากลึกมากนัก ส่วนแบบตั้ง เหมาะสำหรับการปลูกพริก มะเขือ ฟักทอง แตงกวา กะเพรา โหระพา หรือพืชที่ลงรากยาว การเตรียมดินก่อนใส่กระสอบ ดินที่นำมาใช้เพื่อปลูกนั้น ควรผสมปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก แกลบ แกลบเผา ลงไป ถ้าสามารถทำปุ๋ยหมักจุลินทรีย์โบกาฉิ(ปุ๋ยแห้ง)ผสมไปด้วยก็จะดี และก่อนใส่ดินในกระสอบ ตัดสินใจก่อนว่าจะปลูกพืชอะไร เพื่อจะได้ใส่ดินได้พอดีกับชนิดพืชที่จะปลูก
จากนั้นพับกระสอบ หรือม้วนปากกระสอบลงมา แล้วใส่ดินสูงประมาณ 20-25 เซนติเมตร หากเป็นผักกินใบ คะน้า กวางตุ้ง ฮ่องเต้ ใส่ดินสูงประมาณ 10-15 เชนติเมตร มัดปาก ด้วยเชือกแล้วนำกระสอบไปวางในจุดที่ต้องการปลูก จากนั้นเจาะรูในดินปลูกหยอดเมล็ดพันธุ์พืชและรดน้ำเช้าเย็น เมื่อต้นงอกและเริ่มโตดูว่าแข็งแรงดีแล้วก็รดน้ำหมักปลา หรือน้ำหมักเศษผักผลไม้ น้ำหมักหอยเชอรี่ หรือรดด้วยจุลินทรีย์ ทุก 5-7 วัน พร้อมโรยปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักบาง ๆ บริเวณด้านบนรอบ ๆ โคนต้นพืช
สำหรับมะเขือเทศชนิดเลื้อย หากสภาพแวดล้อมเหมาะสมจะสามารถเจริญเติบโตสูงขึ้นได้เรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด มีกิ่งแขนงขนาดใกล้เคียงกับลำต้น 2 – 3 แขนง และมีแขนงย่อยได้อีกไม่จำกัด ช่อดอกแรกเกิดระหว่างข้อที่ 8 และ 9 ช่อดอกต่อมาจะเกิดขึ้นทุก ๆ 3 ข้อ ลำต้นอาจจะสูงหรือยาวกว่า 10 เมตร ฉะนั้นต้องทำค้างเพื่อรองรับการเลื้อยด้วย หากไม่แล้วมะเขือเทศจะทอดตามแนวดิน เมื่อออกผลจะทำให้ผลเสียเป็นส่วนใหญ่เพราะติดกับพื้นดินและเกิดการปนเปื้อน ……ส่วนแบบพุ่ม ประเภทนี้จะมีลำต้นตั้งตรง กิ่งแขนงหลายแขนงเกิดตามข้อบนลำต้นด้านล่าง และอาจมีแขนงย่อยได้อีก ช่อดอกเกิดระหว่างข้อทุกข้อ ในเวลาใกล้เคียงกัน เมื่อตายอดเกิดช่อดอกแล้วจะหยุดการเจริญเติบโต มะเขือเทศบางพันธุ์ เมื่อตายอดเกิดช่อดอกแล้วจะมีกิ่งแขนง เกิดที่ข้อใต้ช่อดอก เติบโตต่อไปเรื่อย ๆ
มะเขือเทศสามารถเจริญเติบโตทางด้านลำต้น ใบ และออกดอกได้ดีตลอดทั้งปี แต่การติดผลมะเขือเทศจะต้องการสภาพอากาศค่อนข้างเย็น อุณหภูมิกลางวันที่เหมาะสมอยู่ที่ระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิกลางคืนประมาณ 16-20 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิกลางคืนสูงกว่า 22 องศาเซลเซียส จะทำให้มะเขือเทศไม่ติดผลหรือติดผลได้น้อย ฝนและความชื้นสูงก็จะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคทางใบและทางรากระบาดรุนแรง ดังนั้นฤดูปลูกที่เหมาะสมที่สุดจึงอยู่ในช่วงฤดูหนาว โดยมีช่วงหยอดเมล็ดเพาะกล้าอยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ซึ่งนอกจากสภาพอากาศจะเหมาะสมต่อการติดผลแล้ว ยังจะทำให้ได้ผลผลิตสูงและมีศัตรูพืชรบกวนน้อย ต้นทุนการผลิตจะต่ำกว่าการปลูกในฤดูอื่น
มะเขือเทศเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีทั้งในดินร่วนเหนียวและดินร่วนทราย ความเป็นกรดด่าง(pH)ที่เหมาะสมประมาณ 5.5-7.0 และเป็นดินที่ระบายน้ำดี ไม่ชอบน้ำขังแฉะ ฉะนั้นการนำมาปลูกในกระสอบจึงเป็นช่องทางที่ดีด้วยกระสอบจะมีโอกาสของการระบายน้ำได้ดี และควรให้น้ำแบบฉีดพ่นฝอยทุกวันตอนเช้า เพื่อให้ดินและอากาศรอบ ๆ กระสอบที่ปลูกมีความชื้นพอเพียง และเป็นการลดอุณหภูมิในกระสอบที่ใช้ปลูกอีกด้วย จากนั้นก็รอการออกผลเพื่อเก็บเกี่ยวไปบริโภคหรือจำหน่ายต่อไป.