น.ส.ชนม์นิภาไข่ทาหรือจ๋าอายุ33ปีเปิดเผยว่าตนจบการศึกษาสาขาการบัญชีมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์กรุงเทพมหานครและเริ่มทำงานออฟฟิศเมื่อปี2549รับเงินเดือนๆละ25,000บาทจนกระทั่งปี2558ตัดสินใจลาออกจากงานเพราะรู้ว่างานไม่เหมาะสมกับตนเองแม้ว่าจะมีเงินเดือนสูงแต่ไม่ใช่ตัวตนของเราประกอบกับแม่ต้องการให้กลับมาอยู่ที่บ้านอ.จุนเพราะอยากให้กลับบ้านจึงไม่ลังเลตัดสินใจลาออกจากงานสำนักงานแล้วกลับมาอยู่บ้านขณะเดียวกันก็สนใจเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์เนื่องจากที่บ้านมีพื้นที่ว่างเหมาะที่จะปลูกผักสวนครัวไว้ทานในครอบครัวได้ด้วย
น.ส.ชนม์นิภากล่าวต่อว่าปัจจุบันทุกคนใส่ใจเรื่องสุขภาพกันอย่างมากประกอบกับตนสนใจเรื่องเก๊กฮวยของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ที่ได้มีการศึกษาวิจัยเรื่องนำดอกเก็กฮวยมาแปรรูปทำชาเพื่อสุขภาพโดยเก็กฮวยของม.แม่โจ้นั้นเป็นการปลูกแบบปลอดภัยไม่มีสารเคมี100%ซึ่งเป็นการทำโครงการร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยกับประชาชนที่สนใจโดยทางมหาวิทยาลัยฯจะช่วยเป็นที่ปรึกษาแนะนำการปลูกเก็กฮวยที่ปลอดภัยให้จากนั้นนำดอกเก็กฮวยมาทำเป็นชา ซึ่งตนได้รับชาดอกเก็กฮวยดังกล่าวมาทำเป็นเครื่องดื่มในครัวเรือนและทำบรรจุภัณฑ์ขายให้กับผู้ที่สนใจดื่มชาเพื่อสุขภาพ
น.ส.ชนม์นิภากล่าวอีกว่านอกจากทำชาดอกเก็กฮวยแล้วตนยังได้นำต้นพันธุ์ดอกเก็กฮวยมาลองปลูกในสวนหลังบ้านเพื่อเตรียมขยายแปลงหากปลูกได้ผลดีตั้งใจจะเผยแพร่ให้กับเพื่อนบ้านได้ปลูกเพื่อใช้ในครอบครัวด้วยและตนยังทดลองปลูกสตรอเบอรี่ปลอดสาร100%โดยใช้วิธีการง่ายๆไม่ยุ่งยากเพื่อพิสูจน์ว่าสตรอเบอรี่สามารถปลูกได้ในพื้นราบและในบ้านเรือนทั่วไปซึ่งแปลงปลูกสตรอเบอรี่ตนได้ยกแปลงเหมือนแปลงผักสวนครัวทั่วไปแล้วนำฟางข้าวมาปูปิดหน้าดินโดยไม่ใช้พลาสติกสีดำคลุมใช้วัสดุธรรมชาติจากในพื้นที่ส่วนผสมของดินที่ปลูกใช้มูลของไส้เดือนดินและน้ำหมักชีวภาพยืนยันได้ว่าทุกอย่างปลอดภัยไม่มีสารเคมีซึ่งได้ปลูกมาสองปีแล้วทำให้คนที่เห็นและผ่านไปมาแวะชมแปลงปลูกชิมผลสตรอเบอรี่ได้อย่างมั่นใจบางรายก็มาขอต้นพันธุ์สตรอเบอรี่ไปปลูก
“เมื่อได้กลับมาอยู่บ้านแล้วทำเกษตรอินทรีย์ในครัวเรือนรู้ว่าตัวเองมีความสุขมากนอกจากได้กลับมาอยู่บ้านกับพ่อแม่แล้วยังได้ทำในสิ่งที่มีความสุขเป็นตัวของตัวเองนอกจากเพื่อสุขภาพแล้วยังมีรายได้จากการขายต้นพันธุ์สตรอเบอรี่ต้นละ10-20บาทและชาดอกเก็กฮวยด้วยจึงทำให้มีความสุขอย่างมาก”น.ส.ชนม์นิภากล่าว